โขน : เสน่ห์โบราณ
การแสดงโขนครั้งอดีต
“อิ่มก่อนดูโขนดูหนัง อิ่มทีหลังล้างถ้วยล้างชาม”
โขน เป็นวัฒนธรรมไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของความบันเทิงยามค่ำคืนที่ไพร่ฟ้า ข้า นายต่างๆ อยากดู เป็นการนำศาสตร์และศิลป์ ได้แก่ นาฏศิลป์ วรรรศิลป์ คีตศิลป์ หัตถศิลป์ มาสอดผสานกัน ใช้ท่ารำและการลำดับเรื่องราวก่อนหลังเหมือนละครใน มีการเพิ่มตัวแสดงและเปลี่ยนทำนองเพลง และมีการนำศิลปะการพากย์ การเจรจา หน้าพาทย์ และวงปี่พาทย์เข้ามาประกอบ เอกลักษณ์ของโขนคือ ผู้แสดงส่วนใหญ่สวมหน้ากากครอบหุ้มศีรษะและใบหน้า ที่เรียกว่า หัวโขน หรือ หน้าโขน สวมเครื่องแต่งกายวิจิตรบรรจงจากฝีมือทอถักปักเลื่อมละเมียดละไม แสดงอารมณ์ผ่านการเต้นและรำตามลักษณะของตัวละคร เรื่องที่มักนำมาเล่นโขน ได้แก่ รามเกียรติ์ ในอดีตโขนถือเป็นเครื่องราชูปโภค เป็นสิ่งประกอบเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ เป็นการละเล่นของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ เจ้านายและขุนนางชั้นสูงฝึกหัดโขนเพื่อเป็นการประดับเกียรติยศแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล ผู้แสดงมีเฉพาะผู้ชาย ต่อมาการเล่นโขนได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปตามยุคสมัย โดยบางท่านเชื่อว่าการเปิดหน้ารำของโขนเพิ่งจะมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6
การเล่นดึกดำบรรพ์..ตำนานโขนไทย
ชักนาคดึกดำบรรพ์ พิธีกวนเกษียรสมุทร ภาพสลักระเบียงคตทิศตะวันออก ปราสาทนครวัด กัมพูชา
การเล่นโขนในแผ่นดินไทย สันนิษฐานว่า มีเค้ามาจากการเล่นชักนาคดึกดำพรรพ์ ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังที่สมเด็จ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวไว้ตำนานละครอิเหนาว่า “เรื่องตำนานของการเล่นโขนในประเทศนี้ มีเค้ามูลอยู่ในกฎมนเทียรบาลตอนตำราพระราชพิธีอินทราภิเษก...บางทีที่เกิดมีกรมโขนขึ้นก็จะมาแต่การเล่นดึกดำบรรพ์ในพระราชพิธีอินทราภิเษกนี้เองโดยทำนองจะมีพระราชพิธีอื่น อันมีการเล่นแสดงตำนานเป็นส่วนหนึ่งในการพิธี เกิดเพิ่มเติมขึ้นโดยลำดับมา จนการเล่นแสดงตำนานกลายเป็นการที่มีเนืองๆ จึงเป็นเหตุให้ฝึกหัดโขนหลวงขึ้นไว้สำหรับเล่นในการพระราชพิธี”
กถักกฬิ ละครพื้นเมืองของอินเดียใต้
ธนิต อยู่โพธิ์ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าโขนอาจสืบเนื่องมาจาก หลายทาง เช่น ระบำรำเต้น กระบี่กระบอง หนังใหญ่ และกถักกฬิหรือละครพื้นเมืองของอินเดียใต้ โขนในยุคแรกๆ เป็นการละเล่นกลางสนาม เล่นยกรบ มีการพากย์และเจรจา ไม่มีการร้อง ในพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักร ได้แก่ พระราชพิธีอินทราภิเษก โดยในรัชกาลหนึ่งอาจเล่นครั้งเดียวเท่านั้น และจะไม่เล่นเป็นมหรสพให้สามัญชนทั่วไปดูเหมือนปัจจุบัน
โขนหลวง สมัยรัตนโกสินทร์
เจ้าพระยารามราฆพ พระยานัฎกานุรักษ์ เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา โขนหลวงรัชกาลที่ 6
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์โดยส่วนหนึ่งยังคงนำมาใช้ในการแสดงโขนสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เกิดมีคณะละครหญิงของเจ้านายและขุนนางชั้นสูงเพิ่มมากขึ้น และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้โขนในบางสังกัดมีโขนและละครหญิงควบคู่กัน บางแห่งเล่นผสมผสานกัน บางแห่งยกเลิกการเล่นโขนและเปลี่ยนมาหัดเล่นละครผู้หญิงเพียงอย่างเดียว
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (รัชกาลที่ 6) โปรดให้คัดเลือกลูกเจ้านาย ข้าราชการ และมหาดเล็กในพระองค์ฝึกหัด โขนสมัครเล่น โดยออกแสดงในงานสำคัญต่างๆ และเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) ได้บังคับกรมมหรสพและกรมหุ่นสืบจากบิดาและต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้กำกับดูแลกรมโขน กรมรำโคม และกรมปี่พาทย์
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขึ้นครองราชย์ ทรงตั้งกรมมหรสพขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้โอนกรมโขนและกรมปี่พาทย์มหาดเล็กมาจากเจ้าพระยาเทเวศร์ รวมทั้งครูโขนทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ ขุนระบำภาษา (ทองใบ สุวรรณภารต หรือ พระยาพรหมาภิบาล) ผู้เป็น ครูยักษ์ ขุนนัฎกานุรักษ์ (ทองดี สุวรรณภารต หรือ พระยานัฎกานุรักษ์) มีชื่อเสียงในด้าน ครูพระและครูนาง และขุนพำนักนัจนิกร (เพิ่ม สุครีวกะ หรือ พระดึกดำบรรพ์ประจง) เป็นที่นับถือในฐานะ
ครูลิง และเนื่องจากรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัยในการมหรสพอย่างมาก จึงโปรดให้ตั้งโรงเรียนพรานหลวงขึ้น ให้บรรดาเด็กที่สมัครเข้ากรมมหรสพต้องเข้าเรียนทุกคน โดยตอนเช้าเข้าเรียนวิชาสมัญ บ่ายเรียนศิลปะตามสาขาของตน นอกจากนี้ยังทรงอุปถัมภ์ศิลปินโขนให้มีบรรดาศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่ตามความเหมาะสม ทำให้การโขนละคร ดนตรี และงานช่างเฟื่องฟูถึงขีดสุด
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยประสบวิกฤตหลายด้าน ทำให้ต้องลดทอนรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการยุบกรมมหรสพ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็โปรดเกล้าฯ ให้ศิลปินบางส่วนเข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง สังกัดกระทรวงวัง มีการฝึกหัดโขนออกโรงแสดงในงานสำคัญและต้อนรับแขกเมือง
ปี พ.ศ. 2478 กระทรวงวังได้ปรับโครงสร้างใหม่ โอนงานละคร ดนตรี ปี่พาทย์และการช่างมาสังกัดกรมศิลปากร
การแสดงโขนของไทย
โขนโรงนอก หรือ โขนนั่งราว แสดงเมื่อคราวเปิดโรงทหาร สมัยรัชกาลที่6
กรมศิลปากรได้ศึกษาและจัดประเภทของการแสดงโขน เป็น 5 ประเภท คือ โขนกลางแปลง โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว โขนหน้าจอ โขนโรงใน และโขนฉาก โขนกลางแปลง แสดงกลางแจ้ง ไม่มีพื้นเวทีหรือโรง ใช้ภูมิประเทศและธรรมชาติเป็นฉาก ผู้แสดงทั้งหมดสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพและการรบ วิธีแสดงคือการจัดกระบวนทัพและการเต้นประกอบหน้าพาทย์ มีการพากย์และเจรจาบ้าง แต่ไม่มีบทร้อง โขนประเภทนี้รวมถึงโขนชักรอกด้วย ที่ผู้แสดงสามารถลอยขึ้นไปในอากาศด้วยการชักรอก ดังปรากฏหลักฐานใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 เรื่อง การพระเมรุพระบรมอัฐิสมเด็จพระชนกาธิบดี เมื่อปี พ.ศ.2338 ว่า “อนึ่ง ในการมหรสพสมโภชพระบรมอัฐิครั้งนั้น มีโขนชักรอกโรงใหญ่ ทั้งโขนวังหลวงและวังหน้า แล้วประสมโรงเล่นกลางแปลง เล่นเมื่อศึกทศกรรฐ์ยกทัพกับ 10 ขัน 10 รถ โขนวังหลังเป็นทัพพระราม ยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวัง โขนวังหน้าเป็นทัพทศกรรฐ์ ยกออกจากพระราชวังบวรฯ มาเล่นรบกันในท้องสนามหน้าพลับพลา ถึงมีปืนบาเหรี่ยมรางเกวียนลากออกมายิงกันดังสนั่นไป” โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว มีวิวัฒนาการมาจากโขนกลางแปลง แสดงบนโรงที่มีหลังคาคลุม ใช้ราวไม้วางพาดตามยาวของโรงสำหรับให้ตัวพระหรือตัวยักษ์ที่มียศถาบรรดาศักดิ์นั่ง สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง มีช่องทางให้ผู้แสดงสามารถเดินได้รอบราว ส่วนผู้แสดงบทเสนา ยักษ์ และยศศักดิ์ต่ำกว่ารวมทั้งบรรดาลิงจะนั่งที่พื้น มีการพากย์และบทเจรจา แต่ไม่มีบทร้อง ก่อนการแสดงจะมีโขนนอกโรง แสดงในเวลาบ่ายก่อนถึงวันแสดงวันหนึ่ง ช่วงโหมโรงผู้แสดงจะเต้นกระทุ้งเส้าตามจังหวะเพลง เป็นการทดสอบความแข็งแรงและเพิ่มความมั่นคงของโรง จากนั้นแสดงตอนพิราพพบพระราม หลังแสดงเสร็จผู้แสดงจะนอนเฝ้าโรงเพื่อรอแสดงโขนในวันรุ่งขึ้น โขนหน้าจอ แสดงหน้าจอผ้าขาวที่เตรียมไว้สำหรับแสดงหนังใหญ่หรือหนังตะลุง ผู้แสดงโขนจะออกมาแสดงด้านหน้าจอสลับกับการแสดงหนังที่เชิดตัวหนังอยู่หลังจอ มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีบทร้อง มหรสพที่แสดงรวมกันในลักษณะนี้เรียกว่า โขนติดหนัง หรือ หนังติดโขน ต่อมาเมื่อหนังใหญ่เริ่มเสื่อมความนิยมเหลือเฉพาะโขน ก็ยังคงขึงจอไว้ โขนโรงใน เป็นการนำศิลปะการแสดงของละครในเข้ามาผสม โดยนำท่ารำท่าเต้น การพากย์และเจรจาตามแบบโขนมาผสมกับเพลงขับร้องประกอบอากัปกิริยาของตัวละคร โขนฉาก เริ่มมีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีการสร้างฉากประกอบการแสดงโขนบนเวที คล้ายละครดึกดำบรรพ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ วิธีการแสดงเป็นแบบโขนโรงใน
เกี่ยวกับนิทรรศการ
โขน ดุจสรวง ผสานศิลป์ (2561). สารคดี ฉบับอภินันทนาการพร้อมนิยสาร
สารคดี ฉบับพฤศจิกายน 2561.
โขนหลวง ละครหลวง. (2559). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561
จาก https://www.thairath.co.th/content/502482
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2561). สุจิตต์ วงษ์เทศ : โขน เป็นวัฒนธรรมร่วมของอาเซียน
ไม่เป็นของใครฝ่ายเดียว หรือพวกเดียว สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2561
https://www.matichon.co.th/columnists/news_164697