Nature

พุทธชยันตี ชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อหมู่มารและกิเลสทั้งปวงเมื่อ 2,600 ปี เป็นการอุบัติพระพุทธศาสนาทำให้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก (อภิลักขิตกาลพิเศษ ครบ 2,600 แห่งการตรัสรู้) (อภิลักขิตกาลพิเศษ ครบ 2,600 แห่งการตรัสรู้)

Nature

ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

วันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก พระองค์เกิดในขัตติยตระกูล มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธบิดาและ พระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดา ทรงมีพระนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว พระองค์ทรงเปล่งอาสภิวาจาที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า

“เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว”

ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง 4 คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และเห็นสมณะ จึงคิดได้ว่าต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุดที่จะพาไปสู่หนทางพ้นทุกข์ พระองค์จึงเสด็จออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หลังจากออกผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรยาวนานเป็นเวลาถึง 6 ปี และในวันหนึ่งภายใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ และทรงอธิษฐานว่า

“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่ง แล้ว จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้”

เมื่อพญามารรู้ จึงได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร ยกพลพักมารมาข่มขู่ และอ้างว่า เป็นที่ของพญามาร แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่หวั่นไหว ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้
วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ในเวลาเช้ามืดพระโพธิสัตว์ ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา และเมื่อตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรม ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน 45 พรรษา พระพุทธองค์เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงแสดงธรรม ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน
วันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา พระโพธิสัตว์เสด็จดับขันธปรินิพพาน คงเหลือแต่พระธรรมกาย ก่อนจะเสด็จดับขันธ์ ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า

 

 


Norway

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมสูงสุด หรือความจริงของสรรพสิ่ง (ไตรลักษณ์ 3) และความจริงของชีวิต (ปฏิจจสมุปบาท 12) ว่าสรรพสิ่งและชีวิตทั้งปวงนั้นล้วนมีลักษณะเป็นสามัญธรรมดา 3 ประการ คือ

อนิจจัง ความเปลี่ยนแปลง ความไม่จีรังยั่งยืนของสิ่งทั้งปวง เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช และวัตถุทั้งปวงไม่อาจจะหลีกเลี่ยง

ทุกขัง สิ่งนั้นจะมีสภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถจะคงทนอยู่ในสภาพเดิมได้ สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ มีความรู้สึกจึงเป็นทุกข์ เพราะไม่อาจต้านทานความเสื่อมที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย ความแก่ และความตายได้

อนัตตา ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของสิ่งทั้งปวง เพราะเกิดจากองค์ประกอบหลายๆ อย่างมารวมกันเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา เช่นร่างกายของมนุษย์และสัตว์ แท้จริงแล้วไม่มีตัวตน เพราะเกิดจากองค์ประกอบ คือมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม มารวมกัน สักวันหนึ่งเมื่อกายนี้แตกดับ ทุกอย่างก็จะกลับไปสู่สภาพเดิม
พระองค์ทรงเกิดปัญญาและเห็นทางสว่างในการพ้นทุกข์ของชีวิต ก็คือการละอุปาทานความเชื่อที่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลทุกข์สุข ให้หันมาพึ่งตนเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติและสอนลำดับวิธีการคิดเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ที่ยั่งยืนให้ตรงกับเหตุ โดยใช้เหตุผล ปัญญา และการกระทำที่พึ่งตนเอง ที่เรียกว่า อริยสัจ 4 คือ
กำหนดทุกข์ปัญหาให้ถูกต้องตามเป็นจริง (ทุกข์)
หาสาเหตุของการเกิดทุกข์ให้ถูกต้องตามเป็นจริง (สมุทัย)
พิจารณาเหตุผลถึงการจะทำให้ทุกข์นั้นหมดไป (นิโรธ)
กำหนดหนทางปฏิบัติด้วยการพึ่งตนเอง (มรรค)
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มี 8 ประการ เรียกว่า มรรค 8 หรือ มัณชิมาปฏิปทาน ซึ่งหมายถึง ทางสายกลาง ที่สามารถจัดเป็น 3 องค์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ได้แก่

องค์ศีล
สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ การพูดต้องสุภาพ พูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงามทางกาย
สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริต ไม่คดโกง เอาเปรียบคนอื่น

สมาธิ สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ จากกิเลส นิวรณ์อยู่เป็นปกติ

ปัญญา สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ ปฏิบัติอย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ การใช้ความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม

วิสาขบูชา

วิสาขบูชา มาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หากตรงกับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชาจะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 ในวันดังกล่าวมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ คือ
เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ เมือง กุสินารา


พุทธชยันตี 2,600 ปี

พุทธชยันตี หมายถึง ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อหมู่มาร และกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง เกิดการตรัสรู้อันทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลก (พุทธ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชยันตี มาจากคำว่า "ชย" คือ ชัยชนะ) ในวันวิสาขบูชา 2555 นี้ เป็นวันครบรอบ 2600 ปี ของการเกิดพระพุทธศาสนา ชาวพุทธจึงได้ร่วมกับรำลึกและเฉลิมฉลองและจัดทำตราสัญลักษณ์แห่งการฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี ซึ่งประกอบด้วย 1.ธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นธงสีเหลือง 2.ใบโพธิ์รอบธรรมจักร ในวงธรรมจักรเป็นสีธงฉัพพรรณรังสี 3.ธรรมจักรมีซี่ 12 ซี่ หมายถึง ญาณ 3 ในอริยสัจ 4 ความหมายของสัญลักษณ์คือ ใบโพธิ์ หมายถึง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สีเขียวแห่งใบโพธิ์ หมายถึง ความเจริญงอกงามของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมจักรกลางผืนธงฉัพพรรณรังสี หมายถึง หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กนกลายไทยชูช่อฟ้า หมายถึง ผืนแผ่นดินไทยได้เชิดชูพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กุสินารา