ในสมัยที่ทรงดนตรีร่วมกับพระเชษฐาธิราชอยู่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคย
ทรงพระราชนิพนธ์เพลงบางท่อนบางตอนไว้แล้ว แต่ยังไม่จบเป็นเพลง ต่อมาเมื่อทั้งสอง
พระองค์เสด็จฯ นิวัติพระนครในปลาย พ.ศ.2488 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู๋หัวรัชกาลที่ 8 ได้
โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
เนื่องจากทรงทราบว่าเป็นผู้ใฝ่พระทัยทางด้านดนตรี จากนั้นมีการโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ อยู่
เป็นประจำ จนได้ทรงมีส่วนร่วมด้านการประพันธ์คำร้องนับแต่บัดนั้น
ด้วยแรงบันดาลใจจากพระราชดำรัสของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชนี้ เป็นผลให้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เพลงแรกในขณะที่ยังทรงเป็นพระอนุชาธิราช
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2489 เป็นเพลงบลูส์ที่ชื่อว่าเพลงพระราชนิพนธ์ แสงเทียน แต่เนื่อง
จากมีพระราชประสงค์จะแก้ไขคำร้องเพิ่มเติม เพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้จึงมิได้ออก
บรรเลงเป็นเพลงแรก กลับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ยามเย็น ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์
ทำนองเป็นเพลงที่สอนในเดือนเดียวกันนั้น โดยทรงพระกรุณาโปรกเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าจักรพันธุ์เพ็ญศิริ ทรงประพันธ์คำร้องและนำออกบรรเลงเป็นเพลงแรกในงานรื่นเริง
ที่สวนอัมพร
เพลงพระราชนิพนธ์ สายฝน เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงที่สาม ทรงพระราชนิพนธ์
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2489 ทรงใช้เวลาเพียงวันเดียวโดยทรงคิดแนวเพลงได้ในคืนก่อนที่จะ
ทรงพระราชนิพนธ์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ทรงช่วยพระราชนิพนธ์เพิ่มเติม
ในบางส่วนด้วย
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสถึงแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่ง
ในการพระราชนิพนธ์เพลง เนื่องในวโรกาสพระราชทานเพลงพระราชนิพนธื Echo บรรเลงเป็น
ปฐมฤกษ์ในงานสังคีต เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2509 มีใจความว่า
...เพลงแรกคือเพลงแสงเทียน จากนั้นก็แต่งขึ้นอีกเรื่อย ๆ จนบัดนี้รวมทั้งหมด
40 พลง ในระยะเวลา 20 ปี คิดเฉลี่ยปีละ 2 เพลง ที่ทำได้ก็เพราะได้รับความสนับสนุนจาก
นักดนตรี นักเพลง และนักร้อง รวมทั้งประชาชนผู้ฟังต่างได้แสดงความพอใจและความนิยม
พอสมควร จึงเป็นกำลังใจแก่ฉันเรื่อยมา ขอถือโอกาสของใจมา ณ ที่นี้ด้วย
|