หอไตรวัดอัมพวัน

“…ถึงมุมกำแพงคลังวิเศษ มีปตูเข้าไปส่วนไพชยนเบญรัตน์ ชื่อปตูสวรรค์พิรมย์ หอพระมณเฑียรธรรมอยู่กลางสระ...”

หนังสือ ว่าด้วยแผนที่กรุงศรีอยุธยา หรือ ภูมิแผนที่พระนครศรีอยธุยา ได้ อธิบายถึงสิ่งก่อสร้างในเขตพระราชวังหลวงช่วงปลายสุดของกรุงศรีอยุธยา ที่ แสดงให้เห็นว่ามีการประดิษฐานหอพระมณเฑียรธรรมภายในเขตพระราชฐานชั้นนอกของกรุงศรีอยุธยา และการระบุว่าหอพระมณเฑียรธรรมอยู่กลางสระ เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าแนวคิดการสร้างอาคารประดิษฐานพระไตรปิฎกกลางสระน้ำมีอยู่แล้วในสมัยอยุธยาตอนปลาย ความนิยมของคนไทยสมัยโบราณมักใช้ใบลานจารจารึกทั้งพระไตรปิฎกและคัมภีร์อื่นๆ ใบลานเป็นใบของต้นตานที่นำมาตัดแต่งมาให้ได้ขนาดเดียวกัน บันทึกอักขระลงไปแล้วเก็บรวบรวมเป็น “ผูก” (การเจาะรูใบลานแต่ละใบให้มีขนาดๆ กันแล้วใช้เชือกร้อยเข้าด้วยกัน แต่ละผูกมีจำนวนตายตัวคือ 24 แผ่น) แยกแต่ละเรื่องแต่ละหมวดหมู่ ห่อผ้า เก็บใสตู้หนังสือที่เรียกว่า ตู้พระธรรม ปัญหาสำคัญของการเก็บรักษาคัมภีร์ใบลาน คือ มด ปลวก และหนู จึงมีการคิดสถานที่เก็บรักษาคัมภร์ใบลาน ซึ่งก็คือหอพระไตรปิฎกหรือหอไตร ให้เป็นเรือนเสาสูงปลูกอยู่กลางสระน้ำ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดเชื่อมติดกับพื้นดิน แม้แต่ทางเดินเข้าไปยังยังต้องทอดบันได้ หรือชักสะพานพาดเข้าไป เพื่อป้องกันปลวกแมลงมากัดกินคัมภีร์ อีกทั้งความชุ่มชื้นของสายน้ำที่พอเหมาะยังช่วยรักษาน้ำมันตามธรรมชาติในเนื้อลาน ทำให้คัมภีร์ใบลานไม่แห้งกรอบ มีความยืดหยุ่น จึงสามารถคงสภาพได้นานหลายร้อยปี