บรรณสารฯ ติดเล่า SS2 EP. 19 “เปิดประวัติ Black Friday และเคล็ดลับช้อปคุ้มไม่เสียเปล่า”

เคยสงสัยไหมว่าทำไมวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้าถึงกลายเป็นวันช้อปปิ้งที่คึกคักที่สุดในปี? Black Friday ไม่ใช่แค่วันลดราคาทั่วไป แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลของขวัญที่หลายคนรอคอย มาฟังประวัติและร่วมกันสำรวจเคล็ดลับการช้อปปิ้งให้คุ้มค่าในวัน Black Friday

Black Friday คืออะไร?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า Black Friday คือวันที่เกิดขึ้นหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า หรือ Thanksgiving ในสหรัฐอเมริกา มักจะตรงกับวันศุกร์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูกาลช้อปปิ้งสำหรับวันหยุดยาว เป็นวันที่ร้านค้าและแบรนด์ต่างๆ จัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำให้คนออกมาช็อปปิ้งเริ่มซื้อของขวัญ เพื่อเตรียมตัวสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

มีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตรงกับวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ร้านค้าต่าง ๆ ก็เริ่มจัดโปรโมชั่นและลดราคาสินค้า ทำให้วันนี้กลายเป็นวันแห่งการช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ประชาชนต่างพากันออกมาช้อปปิ้งกันอย่างบ้าคลั่ง จนรถติด เกิดเหตุไม่สงบ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาดูแลความวุ่นวาย และได้ให้นิยามเหตุการณ์นี้ว่า “Black Friday” หรือ “วันศุกร์มืดมน” นั่นเอง

แต่คำว่า “Black Friday” ทำให้ผู้ค้าปลีกที่ชื่อว่า “Philly” รู้สึกฟังแล้วดูมืดหม่น ในปี 1980 เขาจึงคิดให้วัน Black Friday มีความหมายว่าเป็นวันสำหรับการซื้อขายสินค้ารายใหญ่ระดับประเทศ เปลี่ยนยอดขายจาก   “สีแดง” (ยอดขายที่ขาดทุน) ให้กลายเป็น “สีดำ” (ยอดขายที่ได้กำไร) ภายในวันเดียว จนกระแสโด่งดัง และเป็นจุดหมายสำคัญของร้านค้าและนักช้อป เพราะทุกที่จะจัดโปรโมชั่นหรือส่วนลดพิเศษให้ได้จับจ่ายกันอย่างหนำใจและด้วยกระแสของอินเทอร์เน็ต และอีคอมเมิร์ซ ทำให้ผู้ประกอบการเปิดเส้นทางการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มความสะดวกสบายช้อปปิ้งได้ผ่านปลายนิ้ว กลายเป็นเทศกาลแห่งการช้อปปิ้ง 4 วันรวด ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี จาก Black Friday ไปจนถึง Cyber Monday ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง

ปัจจุบัน Black Friday ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังแพร่หลายไปทั่วโลก หลายประเทศก็รับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในการกระตุ้นยอดขาย และร้านค้าออนไลน์หลายแห่งก็มักจะจัดดีลสุดพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า สิ่งที่ทำให้ Black Friday พิเศษคือส่วนลดสินค้าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ผู้คนจำนวนมากตื่นเต้นกับดีลสุดคุ้มที่มีในวันนี้ จนถึงขั้นยืนรอหน้าร้านตั้งแต่เช้ามืด เพื่อให้ได้สินค้าที่ถูกใจในราคาที่คุ้มค่า ถือเป็นโอกาสในการซื้อของขวัญและสินค้าต่าง ๆ สำหรับเทศกาลวันหยุด

เทคนิคในการเลือกซื้อสินค้าให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ

นอกจาก Black Friday จะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการช้อปปิ้งแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า การเลือกซื้อสินค้าให้คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพควรทำอย่างไรบ้าง? วันนี้ห้องสมุด มสธ. มีหนังสือที่น่าสนใจมาแนะนำสำหรับคนที่อยากจะเป็นนักช้อปที่ชาญฉลาด ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เข้าใจวิธีเลือกซื้อสินค้าให้ได้ราคาที่ดีที่สุด แต่ยังช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอย่างมีสติในโลกยุคปัจจุบัน คือ หนังสือ ฉลาดเลือก ฉลาดออม ฉลาดลงทุน โดยผู้แต่ง วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ซึ่งแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคในการซื้อของที่สามารถนำมาใช้ได้กับทั้งการซื้อของส่วนบุคคลและการซื้อของสำหรับบริษัท ดังนี้

  1. ซื้อของลดราคา ความสุขของการซื้อของคือ ได้สินค้าที่ถูกกว่าราคาปกติ แต่ข้อควรระวังคือ ให้ถามตัวเองก่อนว่าหากสินค้านี้ไม่ลดราคา เราจะซื้อหรือไม่ ควรติดตามข่าวสารการลดราคาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการลดราคาสินค้าในเคาน์เตอร์ปกติ หากมีการวางแผนดีๆ จะสามารถประหยัดเงินไปได้มากทีเดียว
  2. ระวังของมีตำหนิ บางครั้งสินค้าที่นำมาลดราคาเป็นสินค้าเก่าหรือมีตำหนิ ต้องตรวจสอบก่อนว่า     คุ้มกับราคาที่ลดลงหรือไม่ สินค้าลดราคาที่น่าซื้อจะเป็นสินค้าที่เปลี่ยนแบบหรือหมดฤดูกาล ซึ่งหากพิจารณาว่าสามารถนำไปใช้ในฤดูกาลหน้าได้ ก็น่าจะซื้อ แต่สินค้าที่ลดราคาเพราะเสียหายแล้ว ซื้อไปก็ไม่คุ้ม
  3. เหมาโหลถูกกว่า การรวมกันซื้อทีละมากๆ ย่อมได้ราคาต่อชิ้นที่ถูกลง หากมีเพื่อนๆ ที่สนใจสินค้าประเภทเดียวกัน สามารถรวบรวมซื้อทีละมากๆ ได้เพื่อขอส่วนลด หรือบางครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าแบบเดียวกัน การซื้อสินค้าหลายชิ้นจากร้านเดียวกัน สามารถขอส่วนลดได้เช่นกัน
  4. รู้จักวงจรชีวิตของสินค้า สินค้าบางอย่างมีช่วงที่ร้านค้านำมาลดราคา หากไม่ต้องการใช้เร่งด่วนก็น่าจะรอซื้อได้ หรือสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มักจะตกรุ่นเร็วมาก เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือกล้องดิจิตอล มักมีราคาที่สูงมากเวลาออกสู่ตลาดใหม่ๆ และจะลดลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน หรือเมื่อมีสินค้ารุ่นใหม่ออกมา ดังนั้นหากยังไม่จำเป็นก็อาจจะรอจนกว่ารุ่นที่อยากได้ราคาลดลงมาพอสมควร เช่นเดียวกับสินค้าแฟชั่น ผ่านไปแล้วเดี๋ยวก็หมุนกลับมาใหม่ ถึงตอนนี้อาจจะตกรุ่นก็อย่าเพิ่งทิ้งไป เพราะแฟชั่นมักจะเวียนกลับมาอีกครั้ง
  5. ซื้อเท่าที่จำเป็น สินค้าบางอย่างมีอ็อปชั่นให้เลือกมาก หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกให้ครบ หรือ “ฟูลอ็อปชั่น” เสมอไป เพราะยิ่งเลือกอ็อปชั่นมาก ก็ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้น แถมอาจเสียเงินไปเปล่าๆ เพราะไม่เคยใช้งานฟังก์ชั่นนั้นเลย
  6. ไม่ซื้อของตามแรงกระตุ้น หรือ Impulse Buying เมื่ออยู่ในร้านค้า พนักงานขายจะพยายามกล่อมให้ท่านตัดสินใจภายในช่วงนั้น เนื่องจากรู้ว่าหากท่านกลับไปคิดที่บ้าน มีโอกาสเกินกว่าครึ่งที่จะเปลี่ยนใจไม่กลับมาซื้อ ดังนั้นเขาพยายามยื่นข้อเสนอพิเศษเพื่อให้ท่านตัดสินใจเลย ยิ่งสินค้าที่มีมูลค่าสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องกลับไปคิดทบทวนนานเท่านั้น
  7. บัตรส่วนลดหรือคูปองสิทธิพิเศษ สามารถสอบถามจากผู้ขายได้ว่าทางร้านรับบัตรส่วนลดอะไรบ้าง หรือหากมีโปรโมชั่นส่งมา ไม่ว่าจะเป็นของบัตรเครดิตที่ท่านเป็นสมาชิก หรือบัตรส่วนลดของร้านค้า หรือคูปองต่างๆ ก็ควรเก็บไว้ใช้ลดราคาได้
  8. เก็บใบเสร็จรับเงินไว้ เมื่อซื้อสินค้าราคาสูง เพราะหากสินค้าที่ซื้อไปแล้วมีปัญหา สามารถนำสินค้าพร้อมใบเสร็จรับเงินไปขอเปลี่ยนเป็นสินค้าชิ้นใหม่ หรือขอรับเงินคืนได้ ส่วนใหญ่ร้านจะมีบริการนี้ ยกเว้นบางร้านที่จะตีไว้ในใบเสร็จรับเงินสำหรับสินค้าที่ลดราคาว่า “ไม่รับเปลี่ยนหรือคืนเงิน”

หวังว่าจะเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งในช่วง Black Friday และนำเทคนิคในการเลือกซื้อสินค้าไปปรับใช้เพื่อให้ได้สินค้าที่คุ้มค่า ราคาดีที่สุด แถมช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วยนะคะ

รายการอ้างอิง

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ. (2548). ฉลาดเลือก ฉลาดออม ฉลาดลงทุน.    https://www.2ebook.com/new/library/book_detail/stou/02001079

อมรินทร์ทีวี. (2566, 24 พฤศจิกายน). เปิดที่มาเทศกาล Black Friday มหกรรมลดแหลก แจกกระจาย ถูกใจสายช้อป. https://www.amarintv.com/news/detail/197003

เรียบเรียงโดย
นางสาวอริชา เนตรวงศ์ บรรณารักษ์ สำนักบรรณสารสนเทศ