ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 มีพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ” เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ. 2448 หลังจากพระราชพิธีโสกันต์ทรงได้รับสถาปนาเป็น “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าพระเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมบัติ
คำนำพระนามเปลี่ยนเป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา” ทรงสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยอีตัน และโรงเรียนนายร้อยวูลิช ประเทศอังกฤษ ทรงเข้ารับราชการในกองทัพไทย และอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา” เมื่อ พ.ศ. 2468
ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 พระนามเดิม คือ “หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์” เป็นพระธิดาองค์เดียวในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี เมื่อพระชันษาได้ 2 ปี พระบิดาได้ทรงนำเข้าถวายตัวแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถเพื่อเรียนรู้วิชาการและขนบธรรมเนียม ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนราชินี เมื่อ พ.ศ. 2457 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงประกอบพิธีเกศากันต์และได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ ณ พระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน ตามพระราชประสงค์ที่กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิพัทธ์รักใคร่กับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี ธิดาแห่งเสด็จน้า และข้าพระพุทธเจ้าอยากจะใคร่ทำการเสกสมรสกับเจ้าหญิงนั้น…” การอภิเษกสมรสครั้งนี้นับเป็นรายแรกที่ทรงพระราชดำริให้มีการสอบถามความสมัครใจ คู่สมรสได้ทรงลงพระนามในสมุด “ทะเบียนแต่งงาน” เป็นคู่แรกและมีของชำร่วยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก คือ แหวนทองคำลงยาประดับเพชร พระราชทานเฉพาะเจ้านายชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ 12 พระองค์ที่ทรงลงพระนามเป็นพยาน
พระราชพิธีจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม พ.ศ. 2468 โดยในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ถือเป็นวันฉัตรมงคลในรัชกาลที่ 7 มีพระราชพิธีที่สำคัญ อาทิ พระราชพิธีสรงพระมุรธาภิเษกสนาน ทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค และเครื่องประดับพระอิสริยยศ มีพระปฐมบรมราชโองการว่า “…ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระ ครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาเหนือท่านทั้งหลายกับโภคสมบัติ เป็นที่พึ่งจัดการปกครองรักษาป้องกันอันเป็นธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย เทอญฯ” โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีขึ้นเป็น “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี” นับเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มีการเฉลิมพระยศสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นอกจากนี้มีพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร และเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทางสถลมารค
ตลอดรัชสมัย 9 ปี พ.ศ. 2468 – 2477 พระราชกรณียกิจเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาตินานัปการ ดังพระราชดำริที่ว่า “…เจ้าฝรั่งเขาไม่ได้ทำอะไรกันเสียเลย แต่เจ้าไทยผิดกันมาก เราถือแบบเมืองอินเดียครั้งโบราณว่าเจ้านั้นเปนกษัตริย์ คือเปนพวกที่เกิดมากสำหรับทำหน้าที่เปนหัวหน้าราษฎร ต้องปกครองดูแลทุกข์ศุขของราษฎร ต้องนึกถึงความศุขของประชาชน ที่ตัวมีหน้าที่ดูแลยิ่งกว่าความศุขของตัวเอง…” พระราชกรณียกิจที่สำคัญ อาทิ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศ โปรดเกล้าฯ ให้ขยายพื้นที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ขยายหลักสูตรการศึกษาถึงขั้นปริญญาตรีและเสด็จฯ ไปในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก พระราชทานพระราชวังบวรสถานมงคลให้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กและพระไตรปิฏกสยาม ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ และสานต่อด้านการคมนาคมทั่วประเทศ
เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศเพื่อเจริญพระราชไมตรีและนำประโยชน์สู่ประเทศชาติ ดังความในพระราชดำรัสว่า “…ได้มีโอกาสเห็นกิจการต่างๆ ทั้งในทางการเมืองและความเป็นอยู่แห่งพลเมืองของเรา กับได้สังเกตที่มาของสิ่งเหล่านี้ คือ เศรษฐกิจ, อุตสาหะกรรม, วิทยาศาสตร์ และของต่างๆ ที่ได้ประดิษฐ์ขึ้น อันเป็นทางนำให้เกิดความคิดสำหรับหน้าที่ผู้บัญชาการเมือง, นับว่าเราได้ประโยชน์ในทางเปิดหูเปิดตาเป็นอย่างดี. อนึ่งเราเว้นเสียมิได้ที่จะต้องกล่าวถึงความไมตรีระหว่างเพื่อนบ้าน ทั้งใกล้และไกลตลอดทางที่ผ่านไปมา เริ่มตั้งแต่อินโดจีน, ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้, ญี่ปุ่น, คานาดา และ สหปาลีรัฐอเมริกาอันเป็นที่หมายปลายทาง…” เสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ 4 ครั้ง คือ พ.ศ. 2472 เสด็จฯ สิงคโปร์ ชวา บาหลี พ.ศ. 2473 เสด็จฯ อินโดจีน พ.ศ. 2474 เสด็จฯ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา พ.ศ. 2477 เสด็จฯ ยุโรป
พระราชพิธีจัดขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 เนื่องในวาระ “สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพมหานครครบ 150 ปี” นับตั้งแต่ พ.ศ. 2325 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีตามประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบกันมา วันพระราชพิธีในหมายกำหนดการมี 9 วัน แบ่งเป็น 3 ภาค ตั้งแต่วันที่ 4-25 เมษายน พ.ศ. 2475 โดยมีงานพิธีที่สำคัญ อาทิ พระราชพิธีเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอดฟ้า มีพระราชพิธีฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามและวัดสุทัศน์เทพวรารามหลังมีการบูรณปฏิสังขรณ์ เสด็จพระราชดำเนินด้วยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมาคม ลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเพื่อพระราชทานพระราชอำนาจแก่ปวงชนชาวไทย นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญว่า “…อันการปกครองแบบรัฐธรรมนูญนี้ ข้าพเจ้าได้มีความเลื่อมใสอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นมา และเมื่อได้มีรัฐธรรมนูญขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็สนใจอันจะให้กิจการดำเนินไปตามระบอบรัฐธรรมนูญทุกประการ…” และมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง
พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร” ด้วยพระสุขภาพพลานามัยที่ไม่สมบูรณ์และพระราชดำริที่ไม่ตรงกันกับรัฐบาล จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติขณะประทับ ณ พระตำหนักโนล เมืองแครนลี ประเทศอังกฤษ หลังจากที่ทรงสละราชสมบัติแล้วยังคงประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาทรงพระประชวรด้วยโรคพระหทัยและเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 พระชนมายุ 48 พรรษา
มหาวิทยาลัยได้รับมอบหนังสือส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจากคุณหญิงมณี สิริวรสาร จำนวน 1,728 เล่ม ซึ่งสะท้อนความสนพระราชหฤทัยเรื่องการอ่านหนังสือ ดังข้อความที่ทรงสอนพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตว่า “ถ้าไม่ชอบอ่านหนังสือแล้วก็มีแต่จะโง่ลงไปทุกวัน เพราะมีความรู้อะไรขึ้นก็ไม่ต้องรู้ ถ้าอ่านหนังสือ แม้เปนนิทาน หรือ novel เรื่องอ่านเล่น ก็คงได้รับความรู้อะไรบ้าง ไม่มากก็น้อยทุกทีไป เพราะฉะนั้นควรพยายามอ่านเสียบ้าง” และยังปรากฏในป้ายบรรณสิทธิ์ของหนังสือส่วนพระองค์บางตอนว่า “ฉันขอเพียงหนังสือเล่มหนึ่งกับมุมหนึ่ง ห่างไกลจากแสงแพรวและความขัดแย้งอลหม่าน; ขอไม้เท้ากับไม้ปลายขออย่างละด้าม; อีกความสงบและความหอมหวานของชีวิต; โอ้ โลกที่ช่างโอัอวดเอ๋ย จงปล่อยให้ฉันได้ครองมุมของฉัน, ราชาแห่งอาณาจักรนี้, หนังสือของฉัน; อาณาบริเวณที่สมัยนิยมได้ทอดทิ้งไป; จงผ่านฉันไป, บรรดาท่านนักเสี่ยงโชคเพียงเพื่อความรุ่งโรจน์เอ๋ย, จงอย่าได้มาขัดจังหวะทำนองอันไพเราะแห่งเรื่องราวของฉันเลย!”
ห้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้รวบรวมสิ่งของส่วนพระองค์และทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้จัดแสดงและให้บริการ อาทิ หนังสือ วิทยานิพนธ์ รายงานการวิจัย เอกสารจดหมายเหตุ ภาพถ่าย วีดิทัศน์ ไมโครฟิล์ม ไมโครแจ็กเก็ต แผ่นเสียงและสื่อดิจิทัล เพื่อให้ผู้สนใจได้เรียนรู้ตามอัธยาศัย สอดคล้องกับพระราชดำรัสเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความตอนหนึ่งว่า “…ต้องพยายามเรียนตลอดชีวิต ใครเขามีวิชชาดีที่ไหนต้องพยายามเรียน เรียนมาแล้วต้องคิดต่อว่าจะหาวิธีอย่างไร มาใช้ให้เหมาะสำหรับประเทศของเรา ไม่ใช่จะเอาอย่างเขาตะบันไป…”